วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ของจริง ไม่มีโม้! ‘ดร เกริก’ บอกวิธีทำเกษตร อย่างไร ทำเงิน 20,000 บาทต่อวัน

ของจริง ไม่มีโม้! ‘ดร เกริก’ บอกวิธีทำเกษตร อย่างไร ทำเงิน 20,000 บาทต่อวัน

 

วันนี้เราจะพาทุกคนมาพบกับดร.เกริก มีมุ่งกิจ ปรัชญาเกษตรผู้ที่ร่ำรวยในเรื่องของความสุข โดยเราไปอยู่แนวคิดว่าเขาทำได้อย่างไรที่จะมีความสุขโดยเขาได้เริ่มเล่าว่าเริ่มแรกที่มาอยู่ที่สถานที่แห่งนี้เขาก็ได้มีการปลูกต้นไม้เห็นว่าทางหลวงเออและชาวบ้านเลยได้มีการตัดแต่งกิ่งต้นไม้กองไว้ข้างถนนอย่างมากมายจึงมีการเก็บสิ่งเหล่านั้นมาทำเป็นทหารขึ้นเพื่อทำกลั่นน้ำส้มควันไม้โดยในตอนนี้ก็ได้มีน้ำส้มควันไม้มาเพื่อใช้ในการเกษตรและฐานเอาไว้เป็นพลังงานทดแทนจากนั้นก็มีการนำออกไปกวาดเศษใบไม้มากองรวมกันเพื่อทำเป็นปุ๋ยจากเศษใบไม้จากนั้นก็นำไปเพาะพันธุ์ไม้เมล็ดสีดำตกบ่ายๆก็เล่น Facebook บ้างเพื่อความบันเทิงในแต่ละวัน

โดยตัวเขาได้เล่าถึงอดีตของตัวเองว่าตัวเขาเป็นเด็กต่างจังหวัดเกิดในจังหวัดปราจีนบุรีพ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนาและตัวเขาก็ชื่นชอบในการทำเกษตรมาตั้งแต่เด็กแต่ก็มีฐานะยากจนซึ่งพ่อแม่นั้นอยากจะให้เรียนหนังสือมีวิชาความรู้โดยมีชุดนักเรียนเพียงแค่ชุดเดียวในการใส่ไปเรียนหนังสือโดยในทุกๆวันหลังจากที่กลับมาจากเรียนหนังสือก็ต้องซักตากทุกวัน โดยเริ่มเรียนที่โรงเรียนเทวรักษ์โคกวัดโดยเป็นโรงเรียนคาทอลิกจากนั้นก็ได้ย้ายไปที่โรงเรียนประชาสงเคราะห์หัวไผ่ที่จังหวัดชลบุรีและต่อด้วยที่โรงเรียนดาราสมุทรศรีราชาจังหวัดชลบุรีก่อนที่จะจบโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาจังหวัดชลบุรีโดยในตอนนั้นเขาสามารถสอบชิงทุนได้

โดยเคล็ดลับของการเรียนอ่านหนังสือนั้นก็คือคำนวณหนังสือและอ่านเฉลี่ยในทุกๆวันเขานั้นบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่งแต่ที่เรียนดีในสมัยก่อนเพราะในสมัยนั้นเรียนง่ายตำราที่ใช้ก็ชัดเจนไม่ได้มากมายเหมือนสมัยนี้แต่ในตอนมต้นเขานั้นเคยเป็นคนที่เรียนแย่มาก่อนตกแล้วตกติดเป็นว่าเล่นเพราะเขานั้นไม่ชอบเรียนและไม่เคยวางเป้าหมายในชีวิตของตัวเองแต่ก็มาถึงจุดนึงที่คิดว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

โดยในสมัยนั้น 1 วิชามีเพียงแค่หนังสือ 1 เล่มต่อเทอมเท่านั้นและหนังสือ 1 เล่มก็จะมีประมาณ 100 หน้าโดยเขาก็จะมาคำนวณว่า 1 วิชาโรงเรียนกี่ชั่วโมงเดือนกี่สัปดาห์สมมุติว่า 1 วิชาเรียน 100 วันจำนวนหน้าหนังสือหารด้วยจำนวนวันที่เรียนตัวเลขที่ได้ออกมาหมายถึงวันที่เท่านั้นจะต้องอ่านหนังสือวันต่อวันนั้นเองและเขาใช้วิธีนี้กับทุกๆวิชาอ่านหนังสือในทุกๆวันอ่านไม่เข้าใจก็อ่านใหม่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้าใจถ้าไม่เข้าใจจริงๆก็จะขีดเส้นไว้รอถามอาจารย์

และหลังจากที่เขาเรียนจบชั้นม 6 สอบได้เรียนต่อที่มศวบางแสนหรือมหาวิทยาลัยบูรพาโดยในตอนนั้นเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี 4 By เอกอังกฤษเป็นภาษาไทยและนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ปริญญาโทเขาเรียนจบคณะบริหารการศึกษาและปริญญาเอกที่ฟิลิปปินส์สาขาวนเกษตร
สาเหตุที่เขาเลือกเรียนวนเกษตรนั่นก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้เพราะเป็นวิชาที่เขาชื่นชอบและเลือกที่จะเรียนที่ประเทศฟิลิปปินส์เพราะประเทศไทยเรานั้นไม่มีขณะนี้ประกอบกับบรรยากาศที่ประเทศฟิลิปปินส์ในมีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยมากในเรื่องของต้นไม้จึงได้มีความสนใจและอีกอย่างได้สัมผัสการเรียนรู้ที่แปลกใหม่เขาจะเลือกเรียนที่นั่นและหลังจากที่เขาเรียนจบมาจากต่างประเทศเขาก็ได้เลือกอาชีพในการเป็นพ่อพิมพ์ของชาติด้วยการเป็นครูสอนวิชาทางด้านภาษาอังกฤษในจังหวัดฉะเชิงเทราจากนั้นก็เริ่มสอนในหลายๆโรงเรียนแต่แล้วก็เจอคู่แข่งได้ก็คือเจ้าของภาษาซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาจอดในเมืองไทยจึงหันมาสอนในวิชาภาษาไทยแทนโดยเป็นอาจารย์พิเศษในมศวบางแสนบ้างในขณะเดียวกันก็เป็นอาชีพนายหน้าที่ดินไปด้วยขายได้เป็นกอบเป็นกำรายได้เยอะๆนับร้อยล้าน

แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ขาดทุนจนเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตหายไปเกือบหมดจากคนที่เคยเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆในศรีราชากลายเป็นยาจกเพียงแค่ข้ามคืนโดยในตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ตกลงมาสู่ในจุดที่ใครไม่หมดตัวก็ไม่รู้แต่เขาเลือกที่จะสู้ต่อไปและนั่นก็ทำให้เขานั้นเปลี่ยนทัศนคติคิดว่าเงินความโลภนั้นไม่เคยให้ความสุขที่แท้จริงเขาจึงได้หาวิธีการคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะเพิ่มเงินได้และสามารถมีความสุขกับมันได้

และเขาก็เลือกที่จะเป็นเกษตรกรหลังจากที่ผ่าชีวิตอันดับ 2 อันโหดร้ายก็ไม่จุดสมดุลก็มานั่งคิดว่าจะทำอะไรต่อไปดีในบั้นปลายชีวิตของตัวเองจึงเลือกใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของในหลวงและกลับไปทำเกษตรเพราะตัวเขาคิดว่าเกษตรกรเป็นอาชีพที่มั่นคงไม่ต้องแย่งใครไม่ต้องแข่งขันที่สำคัญเป็นอาชีพที่ชอบมาตั้งแต่เด็กโดยใช้เวลา 3 ปีในการ 9 ตัวเองมันเป็นเกษตรแบบเต็มตัว
โดยกล่าวนั้นได้มีการวางแผนในการทำเกษตรอยู่ 4 ระยะนั่นก็คือระยะสั้นระยะกลางและระยะยาวและระยะถาวรโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ระยะสั้น คือการวางแผนแบบเดินต่อเติมบ้านในแต่ละเดือนนั้นเขาจะทำอะไรบ้างซึ่งสิ่งที่จะทำให้เขาน่าจะสามารถเก็บหารายได้จากการเก็บกิ่งไม้ที่ตัดแต่งจากสวนลำไยหรือสูงเนาะทิ้งขว้างเอาไว้มาทำให้เกิดประโยชน์โดยนำมาเผาถ่านและผลิตน้ำส้มควันไม้
`
ระยะกลาง ช้ระยะเวลา 1 ถึง 3 ปีในการวางแผนโดยใช้เวลาว่างจากการเผาถ่านผลิตน้ำส้มควันไม้มาปลูกต้นไม้กวาดใบไม้ตัดหญ้าที่มีอยู่ในพื้นที่นำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์เพราะต้นกล้าเพื่อเตรียมไว้ปลูกในคราวต่อไปและยังมีการปลูกพืชผักสวนครัวอีกด้วย
ระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีเป็นต้นไปเขาจะเริ่มมีความปลูกต้นไม้หลากหลายมากยิ่งขึ้นมีการเลี้ยงสัตว์และผลิตอาหารสัตว์เข้ามา
ระยะยาวคือระยะ 15 ปีขึ้นไปคือเป็นระยะที่ยาไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานมีการนำไม้มาดัดแปลงมาแปรรูปมีการทำเฟอร์นิเจอร์นำมาสร้างบ้านจะมีการเก็บต้นไม้ใหญ่ที่มีราคาแพงอีกทั้งยังมีการปลูกพริกไทยติดกับต้นไม้ใหญ่ไว้ทุกต้นเพื่อสามารถสร้างรายได้ในอนาคตได้
“`
นอกจากนี้เขานั้นยังมีการเปิดให้กับคนที่ต้องการเข้ามาศึกษาดูงานโดยสามารถเข้ามาศึกษาได้ โดยให้วันละ 200 แต่ต้องทำจริง ซึ่งมีใครหลายๆคนก็ยอมบางคนมาฝึกงานเอาเต็นท์มานอนถ้ำกลางธรรมชาติเลยก็มีโดย มีที่นอนฟรี wifi ฟรีข้าวสารฟรีต้องหุงเองมีอาหารฟรีปลาฟรีจากธรรมชาติ 4 สามารถปลูกกินเองได้โดยระยะเวลาในการเรียนนั้นจะมีเวลาประมาณ 1 เดือนต่อ 1 วิชา 5 วิชาก็คือ 1 การเผาถ่าน 2 การทำดินจากใบไม้และหญ้า 3 การทำปุ๋ย 4. ปลูกต้นกล้า ปและ 5 คือการทำนา นี้คือหลักสูตรสำหรับคนที่สนใจอยากจะมาเรียนกับเขาหรือถ้าหากใครสนใจวิชาไหนโดยเฉพาะก็สามารถเจาะจงได้ด้วยเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กัญชา 2 ไร่ ผลผลิตเท่ากับ นาข้าว 10 ไร่ ต้นสดกิโลละ 20,000 สกัดเป็นสาร กิโลละ

กัญชา 2 ไร่ ผลผลิตเท่ากับ นาข้าว 10 ไร่ ต้นสดกิโลละ 20,000 สกัดเป็นสาร กิโลละ   “หมอพื้นบ้าน” ยันกัญชาเสพแค่ไหนก็ไม่ติด แนะรัฐนำร่...